18 เมษายน พ.ศ. 2398 ‘รัชกาลที่ 4’ ลงนามสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษ เปิดประตูการค้าสู่โลกตะวันตก จุดเริ่มต้นเศรษฐกิจยุคใหม่ของสยาม
ในประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักรสยาม หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและการทูตระหว่างประเทศ คือการลงนามใน “สนธิสัญญาเบาว์ริง” (Bowring Treaty) กับสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398 (ค.ศ. 1855) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4)
ก่อนการลงนามในสนธิสัญญา สยามยังมีระบบการค้าแบบผูกขาดภายใต้การควบคุมของพระคลังสินค้า โดยการค้าระหว่างประเทศถูกจำกัดอยู่เฉพาะกับบางชาติ และถูกควบคุมอย่างเข้มงวดทั้งด้านภาษีและระเบียบราชการ
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 อังกฤษซึ่งเป็นมหาอำนาจทางทะเลของโลกในขณะนั้น ได้เร่งขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการค้าไปทั่วภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะหลังจากที่อังกฤษประสบความสำเร็จในการเปิดประเทศจีนให้ทำการค้ากับชาติตะวันตกผ่าน “สงครามฝิ่น” ซึ่งนำไปสู่การลงนามใน “สนธิสัญญานานกิง” กับจีน ทำให้อังกฤษมองเห็นโอกาสในการขยายเครือข่ายการค้าไปยังภูมิภาคอื่น ๆ
สยามในขณะนั้นถือเป็นประเทศที่มีความมั่นคงและเป็นอิสระจากการตกเป็นอาณานิคม แตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่ง อีกทั้งยังตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นจุดเชื่อมต่อทางการค้าระหว่างอินเดีย จีน และกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก ด้วยเหตุนี้ อังกฤษจึงมีความสนใจที่จะสานสัมพันธ์กับสยามในเชิงเศรษฐกิจและการทูต เพื่อให้สามารถเข้าถึงทรัพยากร ท่าเรือ และตลาดการค้าในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยบริบทของการล่าอาณานิคมและการแข่งขันระหว่างชาติมหาอำนาจในยุคนั้น การทำสนธิสัญญาทางการค้ากับสยามจึงเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งของอังกฤษในการสร้างอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยไม่ต้องใช้กำลังทหาร
สนธิสัญญาเบาว์ริง มีชื่อเรียกตาม เซอร์จอห์น เบาว์ริง (Sir John Bowring) ข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำฮ่องกง ซึ่งเป็นผู้แทนของอังกฤษในการเจรจา มีสาระสำคัญหลายประการ ได้แ
1. ยกเลิกการผูกขาดการค้า โดยพระคลังสินค้า เปิดโอกาสให้พ่อค้าต่างชาติสามารถค้าขายกับเอกชนในสยามโดยตรง
2. กำหนดอัตราภาษีนำเข้า-ส่งออกแบบคงที่ ช่วยให้การค้าระหว่างประเทศมีความแน่นอนและโปร่งใส
3. อนุญาตให้พ่อค้าอังกฤษตั้งถิ่นฐานและมีสถานกงสุลในกรุงเทพฯ
4. กำหนดสิทธิ “เอกสิทธิ์ทางกฎหมาย” (extraterritoriality) ที่ให้อังกฤษมีอำนาจพิจารณาคดีความของชาวอังกฤษในสยามด้วยตนเอง
การรลงนามในสนธิสัญญาครั้งนั้น ช่วยให้สยามเติบโตอย่างรวดเร็วในด้านเศรษฐกิจ สามารถส่งออกสินค้า เช่น ข้าว น้ำตาล และไม้สัก ไปยังตลาดโลก รวมถึงการปฏิรูประบบราชการและเศรษฐกิจ รัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 มีการปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บภาษี การศึกษา และระบบเงินตราให้ทันสมัยยิ่งขึ้น และเป็นการเปิดประตูสู่โลกตะวันตก สนธิสัญญานี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดประเทศ และการมีปฏิสัมพันธ์กับชาติตะวันตกในระดับที่ลึกซึ้งขึ้น
ทั้งนี้ สนธิสัญญาเบาว์ริงไม่เพียงแต่เป็นข้อตกลงทางการค้าที่สำคัญ แต่ยังเป็นหมุดหมายแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลระยะยาวต่อการพัฒนาและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสยาม แม้ว่าสนธิสัญญานี้จะถูกวิจารณ์ในภายหลังว่าเอื้อประโยชน์ต่อชาติตะวันตกมากกว่าสยาม แต่ในบริบทของยุคสมัย ก็ถือว่าเป็นก้าวแรกของการปรับตัวเพื่อธำรงเอกราชและเข้าสู่ยุคสมัยใหม่อย่างสง่างาม
